กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555
สำนวน คำพังเพย และสุภาษิตไทย
ความหมายของสำนวนไทย
คำว่า “สำนวน” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๑๘๗) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “สำนวน น. ถ้อยคำที่เรียบเรียง , โวหาร , บางทีก็ใช้ว่าสำนวนโวหาร เช่น สารคดีเรื่องนี้สำนวนโวหารดี ; คดี เช่น ผิดสำนวน ; ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้วมีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ , ถ้อยคำที่แสดงออกมาเป็นข้อความพิเศษ เฉพาะภาษาหนึ่งๆ เช่น สำนวนฝรั่ง , ชั้นเชิงหรือท่วงทำนองในการแต่งหนังสือหรือพูด เช่น สำนวนยาขอบ”
คำว่า “คำพังเพย” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๗๗๘) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “พังเพย น. ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว โดยกล่าวเป็นกลางๆ เพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง เช่น กระต่ายตื่นตูม”
คำว่า “ภาษิต” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๘๒๓) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ภาษิต น. ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายเป็นคติ เช่น กงเกวียนกำเกวียน”
2
|
เมื่อพิจารณาความหมายและตัวอย่างของคำว่า “สำนวน” “คำพังเพย” “ภาษิต” สุภาษิต” แล้วจะเห็นจะได้ว่ามีลักษณะคล้ายกันมาก
ที่มาของสำนวนไทย
สำนวนเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของภาษาไทย เพราะเป็นคำพูดที่กลั่นกรองขึ้น เพื่อความสละสลวยของภาษา เป็นถ้อยคำที่คมคายกว่าคำพูดธรรมดา เป็นคำพูดที่รวมใจความเรื่องยาวๆ ให้สั้นลง บางครั้งผู้พูดไม่ต้องอธิบายบางสิ่งบางอย่างยืดยาว เขาสามารถหยิบยกถ้อยคำสำนวนมาประกอบคำพูดของเขา ก็จะทำให้ผู้ฟังสามรถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นการศึกษาถ้อยคำประเภทนี้ไว้ เพื่อใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่จะพูดจึงมีความจำเป็น
สำนวนที่เราใช้กันในภาษาไทยนั้น ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นว่ามีมูลเหตุที่เกิดแตกต่างกัน วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๐ อ้างถึงใน เพ็ญแข วัจนสุนทร ,๒๕๒๘) ได้กล่าวสรุปไว้ดังนี้
๑. เกิดจากธรรมชาติ เช่น ตื่นแต่ไก่โห่, น้ำซึมบ่อทราย, ไม้งามกระรอกเงาะ, ต้นไม้ตายเพราะลูก, ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น,แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ, น้ำตาลใกล้มด, ปลาหมอตายเพราะปาก, ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
๒. เกิดจากการกระทำ เช่น แกว่งเท้าหาเสี้ยน, ปลูกเรือนคร่อมตอ, พายเรือคนละที, จุดไต้ตำตอ, ชุบมือเปิบ, ปากว่ามือถึง, โค่นกล้วยไว้หน่อ, รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง, ปิดทองหลังพระ
๓. เกิดจากศาสนา เช่น ขนทรายเข้าวัด, ตักบาตรถามพระ, ทำคุณบูชาโทษ, ผ้าเหลืองร้อน, ผ้าเหลืองร้อน, แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร
๔. เกิดจากนิยาย นิทาน ตำนาน และพงศาวดาร เช่น ลูกทรพี, ปากพระร่วง, ดอกพิกุลร่วง, กบเลือกนาย, กระต่ายตื่นตูม, เห็นกงจักรเป็นดอกบัว, ชักแม่น้ำทั้งห้า, กิ้งก่าได้ทอง, กินจนพุงแตก
๕. เกิดจากแบบแผนประเพณีและความเชื่อ เช่น ผีซ้ำด้ำพลอย, กงกำกงเกวียน, กระดูกร้องได้, กรรมตามทัน, ผีเรือนไม่ดีผีอื่นพลอย, คนตายขายคนเป็น
๖. เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ตกกระไดพลอยโจน, ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไม้, น้ำเชี่ยวขาวงเรือ, ก้มนกมักซวน, ดับไฟหัวลม
๗. เกิดจากการละเล่นหรือกีฬา เช่น รุกฆาต, ไม่ดูตาม้าตาเรือน, เข้าตาจน, ไม่ตายก็คางเหลือง, ไก่รองบ่อน, สู้จนเย็บตา
๘. เกิดจากความประพฤติ เช่น หาเช้ากินค่ำ, กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย, ตำข้าวสารกรอกหม้อ, ตื่นก่อนไก่, ขี้ก่อนใหญ่ให้เด็กเห็น, ขี้เกียจสันหลังยาว
๙. เกิดจากอวัยวะ เช่น เส้นใหญ่, ตาเหลือง, ตีนแมว, ปากบอน, ตีนเท่าฝาหอย, หัวหกก้นขวิด
ลักษณะของสำนวนไทย
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (๒๕๒๓ : ๓) ได้อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของสำนวนไทยว่า มีทั้งประเภทมีเสียงสัมผัสคล้องจองกัน และแบบไม่มีเสียงสัมผัส ดังนี้
ประเภทมีเสียงสัมผัส
ก. ๔ คำสัมผัส เช่น เก็บหอมรอมริม, คอขาดบาดตาย, เงยหน้าอ้าปาก, เจ็บไข้ได้ป่วย, ฉูดฉาดบาดตา, ซื้อง่ายขายคลอง, ทำมาค้าขึ้น, มั่งมีศรีสุข
ข. ๖ – ๗ คำสัมผัส เช่น ขิงก็ราข่าก็แรง, คดในข้องอในกระดูก, จับให้มั่นคั้นให้ตาย, ต่อความยาวสาวความยืด, แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร, หวานเป็นลมขมเป็นยา, พูดไม่ออกบอกไม่ถูก, บีบก็ตายคลายก็รอด
ค. ๘ – ๙ คำสัมผัส เช่น ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง, คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่อยาก, เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก, ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูดเงา, กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง, รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี, รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
ประเภทไม่มีเสียงสัมผัส
ก. ๒ คำเรียงกัน เช่น ก่อหวอด, กัดฟัน, กาฝาก, กินดิบ, กินตัว, ข่มหมู, ของร้อน, ขายถ่าน, เข้าเนื้อ, เข้าปิ้ง
ข. ๓ คำเรียงกัน เช่น กาคาบพริก, ไกลปืนเที่ยง, คมในฝัก, ก้างขวางคอ, ยาหม้อใหญ่, มืดแปดด้าน, เกลือจิ้มเกลือ, ดาบสองคม, เฒ่าหัวงู, เตี้ยอุ้มค่อม, เด็กเหลือขอ, เลือดเข้าตา
ค. ๔ คำเรียงกัน เช่น ใกล้เกลือกินด่าง, กิ้งก่าได้ทอง, กระต่ายหมายจันทร์, แกว่งเท้าหาเสี้ยน, เข้าด้ายเข้าเข็ม, ผักชีโรยหน้า, ล้วงคองูเห่า, ดอกไม้ริมทาง
ง. ๕ คำเรียงกัน เช่น ชักแม่น้ำทั้งห้า, หัวกระไดไม่แห้ง, หายใจไม่ทั่วท้อง, ลางเนื้อชอบลางยา, ชักใบให้เรือเสีย, ชี้โพรงให้กระรอก, เด็ดบัวไม่เหลือใย, สาวไส้ให้กากิน
จ. ๖ – ๗ คำเรียงกัน เช่น เห็นกงจักรเป็นดอกบัว, สร้างวิมานในอากาศ, ยกภูเขาออกจากอก, วันพระไม่มีหนเดียว, ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก, เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง, ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ, เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
คุณค่าของสำนวนไทย
๑. เป็นเครื่องอบรมสั่งสอนและชี้แนะให้เป็นคนดี ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นในด้านความรัก การสมาคม การครองเรือน การศึกษา การพูดจา เป็นต้น
ตัวอย่าง
ด้านความรัก : คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย, น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า, คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ, น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
ด้านการพูดจา : พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย, พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
ด้านการศึกษาอบรม : เมื่อน้อยให้เรียนวิชา, ฝนทั่งให้เป็นเข็ม, สิบรู้ไม่เท่าชำนาญ, ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด, ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
๒. สำนวนไทยช่วยสะท้อนให้เห็นความคิด ความเชื่อของคนในสังคมไทยหลายประการ เช่น
ความเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ ซึ่งเคยผ่านโลกมาก่อนและเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้นำของครอบครัว เช่น เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด, ผัวเป็นช้างเท้าหน้า เมียเป็นช้างเท้าหลัง ฯลฯ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวกำลังถูกวิพากษ์มาก
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องกรรม เช่น หว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น, ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฯลฯ
ความเชื่อเกี่ยวกับการปกครอง เช่น บ้านเมืองมีขื่อมีแป, สมภารไม่ดีหลวงชีสกปรก, นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย ฯลฯ
๓. สะท้อนให้เห็นถึงภาวะความเป็นอยู่ของสังคมในด้านต่างๆ เช่น
เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการครองชีพ เช่น เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย, มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท, นุ่งเจียมห่มเจียม, อย่าเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง ฯลฯ
เกี่ยวกับการทำมาหากิน เช่น อย่าหมายน้ำบ่อหน้า, น้ำขึ้นให้รีบตัก, ตื่นก่อนไก่, ปัญญาเป็นทรัพย์ ฯลฯ
เกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ เช่น ส้มโอหวาน, ข้าวสารขาว, ลูกสาวสวย, เมืองลุงมีดอน เมืองคอนมีท่า, เมืองตรังมีนา, สงขลามีบ่อ (สำนวนปักษ์ใต้)
๔. ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกับธรรมชาติเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก จึงได้นำเอาลักษณะธรรมชาติ สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ มาตั้งเป็นสำนวนต่างๆ เช่น วัวเห็นแก่หญ้า ขี้ข้าเห็นแก่กิน, วัวแก่กินหญ้าอ่อน, แมวไม่อยู่หนูระเริง, ปลากระดี่ได้น้ำ, น้ำตาลใกล้มด, สีซอให้ควายฟัง, ปล่อยปลาลงน้ำ, ปลาหมอตายเพราะปาก, ตีงูข้างหาง, ล้วงคองูเห่า, ลูกไก่อยู่ในกำมือ, ไก่รองบ่อน, ปิดประตูตีแมว, ดินพอกหางหมู ฯลฯ
๕. การศึกษาสำนวนต่างๆ ช่วยทำให้เราใช้ภาษาได้ถูกต้องและสละสลวย ไม่ต้องใช้คำพูดที่เยิ่นเย้อยืดยาว แต่สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านผู้ฟังได้มาก นากจากนั้น การศึกษาสำนวนของภาคต่างๆให้เราได้เรียนรู้ภาษาถิ่นไปด้วยในตัว อันจะทำให้เราเข้าใจวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวไทยภาคต่างๆได้ดี ช่วยทำให้เกิดความรักและความเข้าใจไม่เกิดการแบ่งแยก
๖. การเรียนรู้เองสำนวนต่างๆ เป็นการสืบต่อวัฒนธรรมของชาติเอาไว้มิให้สูญหายและเกิดความภูมิใจที่บรรพชนได้คิดสร้างสิ่งนี้เอาไว้แก่เรา
ตัวอย่างสำนวน คำพังเพย สุภาษิตไทย
๑) เขียนเสือให้วัวกลัว : ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญหรือเกรงขาม
๒) ขี่ช้างจับตั๊กแตน : ลุงทุนมากแต่ได้ผลเล็กน้อย
๓) จับปูใส่กระด้ง : ยากที่จะทำให้อยู่นิ่งได้
๔) งมเข็มในมหาสมุทร : ค้นหาอะไรในที่ลี้ลับ ยากที่จะสำเร็จ, ค้นหาสิ่งที่ค้นหาได้ยาก
๕) ขนหน้าแข้งไม่ร่วง : ไม่เดือดร้อนอะไร
๖) วัวหายล้อมคอก : เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้วจึงคิดหาทางป้องกันภายหลัง
๗) กำแพงมีหู ประตูมีช่อง : ให้ระมัดระวังการพูดการกระทำ แม้เป็นความลับอาจมีผู้ล่วงรู้ได้
๘) ดินพอกหางหมู : ทิ้งการงานหรือธุระสะสมไว้มากจนทำให้ ต้องลำบากเดือดร้อน
ภายหลัง
ภายหลัง
๙) ปลาใหญ่กินปลาเล็ก : ประเทศหรือคนที่มีอำนาจหรือผู้ใหญ่ กดขี่ข่มเหงประเทศที่
ด้อยกว่าหรือผู้อ่อนแอกว่าหรือผู้น้อย
ด้อยกว่าหรือผู้อ่อนแอกว่าหรือผู้น้อย
๑๐) เข็นครกขึ้นภูเขา : ทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่งโดยต้องใช้ความพยายามและ
อดทนอย่างมากหรือเกินกำลังความสามารถของตน
อดทนอย่างมากหรือเกินกำลังความสามารถของตน
๑๑) กระต่ายหมายจันทร์ : ชายที่หมายปองหญิงที่มีฐานะดีกว่า
๑๒) ยื่นแก้วให้วานร : เอาของดีมีค่าให้แก่คนที่ไม่รู้ค่าของสิ่งนั้นเท่ากับเสียไปเปล่าๆ
ไม่ได้ประโยชน์ม่รู้ค่าของสิ่วามลับก็อาจมี้โดยสะดวกาจไม่สำเร็จทั้ง ๒ อย่างองตนเรือนขี้รดบนหลังคาไปหน่อยหรือ
ไม่ได้ประโยชน์ม่รู้ค่าของสิ่วามลับก็อาจมี้โดยสะดวกาจไม่สำเร็จทั้ง ๒ อย่างองตนเรือนขี้รดบนหลังคาไปหน่อยหรือ
๑๓) อ้อยช้างเข้าปาก : สิ่งหรือประโยชน์ที่ตกอยู่ในมือใครแล้ว ยากจะได้คืน
๑๔) หนีเสือปะจระเข้ : หนีอันตรายอย่างหนึ่ง กลับต้องพบอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
๑๕) กระต่ายตื่นตูม : ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน
๑๖) สีซอให้ควายฟัง : พูดชี้แจงแนะนำสั่งสอนตนโง่ย่อมไร้ผลเสียเวลาเปล่าๆ
๑๗) เลี้ยงช้างกินขี้ช้าง : หาผลประโยชน์โดยมิชอบจากงานที่ทำ
๑๘) ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ : ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับซึ่งกันและกัน
๑๙) รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี : รักลูกต้องคอยว่ากล่าวตักเตือน ให้เป็นคนดีอยู่เสมอ
๒๐) นอนกินบ้านกินเมือง : นอนตื่นสายด้วยความเกียจคร้าน
๒๑) เอาปลาย่างไปฝากแมว : ไว้วางใจในสิ่งที่ไม่ควรไว้วางใจ
๒๒) หาเหาใส่หัว : รนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง
๒๓) หมีกินผึ้ง : พูดบ่มพึมพำแสดงความไม่พอใจ
๒๔) กินปูนร้อนท้อง : ทำอาการพิรุธเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
๒๕) หนูตกถังข้าวสาร : ผู้ชายที่ได้ภรรยารวย
๒๖) เสือนอนกิน : ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
๒๗) ลูกไก่ในกำมือ : ผู้ที่ไม่มีทางต่อสู้
๒๘) ยื่นหมูยื่นแมว : แลกเปลี่ยนกัน
๒๙) ขมิ้นกับปูน : เข้ากันไม่ได้, ชอบทะเลาะกันอยู่เสมอเมื่อใกล้กัน
๓๐) ม้าดีดกะโหลก : กิริยากระโดกกระเดก ไม่เรียบร้อย
๓๑) ปากหอยปากปู : ชอบนินทาเล็กนินทาน้อย
๓๒) ตีงูให้กากิน : ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
๓๓) ตะกรุบกบ : ล้มคว่ำล้มบนพื้น
๓๔) เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด : ประพฤติปฏิบัติตามผู้ใหญ่จะปลอดภัย
๓๕) ชี้โพรงให้กระรอก : แนะทางให้
๓๖) จับแพะชนแกะ : ทำอย่างขอไปทีไม่ได้อย่างนี้ก็จะเอาอย่างนั้น
๓๗) ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ : ทำอะไรที่ต้องเสียทรัพย์มากมายแล้วไม่ได้ผลคุ้มค่ากับเงินทองที่ต้องเสียไป
๓๘) โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ : กำจัดศัตรูต้องฆ่าให้หมด
๓๙) คาหนังคาเขา : จับได้ขณะกระทำผิด โดยมีหลักฐานตำตา
๔๐) คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล : ออกทะเลอย่าประมาทอาจมีอันตรายได้ทุกขณะ
๔๑) น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า : ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
๔๒) คาบลูกคาบดอก : ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไร
๔๓) วัวหายล้อมคอก : เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้วจึงคิดหาทางป้องกันภายหลัง
๔๔) คบคนดูหน้า ซื้อผ้าดูเนื้อ : จะคบกับใครให้พิจารณาเสียก่อน
๔๕) เงาตามตัว : ผู้ที่ไปด้วยกันเสมอ
๔๖) เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า : ยกย่องแล้วกลับทำลายในภายหลัง
๔๗) ขนทรายเข้าวัด : หาประโยชน์ให้ส่วนรวม
๔๘) ช้างเท้าหลัง : ผู้ที่ต้องเดินตามผู้นำ
๔๙) แกะดำ : คนที่ทำอะไรผิดจากคนอื่นหรือแปลกแยกต่างคนส่วนใหญ่
๕๐) กิ้งก่าได้ทอง : ได้ยศศักดิ์เพียงเล็กน้อยก็หยิ่งจองหอง
๕๑) เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน : เก็บเล็กผสมน้อย หรือค่อยๆทำทีละน้อยจนเป็นรูปร่างขึ้นมาได้
๕๒) นกสองหัว : คนที่เข้าด้วยทั้ง ๒ ฝ่าย
๕๓) กงเกวียน กำเกวียน : ทำกับเขาอย่างไร เขาก็ทำกับตนอย่างนั้น
๕๔) กระเช้อก้นรั่ว : สุรุ่ยสุร่าย ไม่ประหยัด
๕๕) จระเข้ขวางคลอง : ผู้ที่ชอบทำอะไรให้เป็นที่ขัดขวางใครๆไม่ให้ทำอะไรได้สะดวก
๕๖) ก่อแล้วต้องสาน : เริ่มทำอะไรแล้วต้องทำต่อให้เสร็จ
๕๗) ก้างขวางคอ : ผู้ที่เข้าไปขัดขวางมิให้ทำการได้โดยสะดวก
๕๘) แกงจืดรู้คุณเกลือ : ต่อเมื่อเดือดร้อนจึงนึกถึงคุณ
๕๙) ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย : ผู้ที่รับใช้นายสองคนที่เป็นศัตรูกัน
๖๐) ขิงก็ร่าข่าก็แรง : จัดจ้านพอๆกัน, ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
๖๑) คลื่นกระทบฝั่ง : เรื่องราวที่ครึกโครมขึ้นมาแล้วกลับเงียบหายไป
๖๒) ไก่รองบ่อน : ตัวสำรอง
๖๓) กิ่งทองใบหยก : ชายกับหญิงที่เหมาะสมที่จะแต่งงานกัน
๖๔) คางคกขึ้นวอ : คนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดีก็มักจะแสดงกิริยาลืมตัว
๖๕) น้ำขึ้นให้รีบตัก : มีโอกาสทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตนได้ให้รีบทำ
๖๖) กระโถนท้องพระโรง : ผู้ที่มีใครก็ใช้ได้หรือมอะไรก็มาลงที่คนนี้คนเดียว
๖๗) กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา : บุคคลที่เนรคุณผู้ที่ให้ที่อยู่อาศัย แล้วยังทำให้เขาเดือดร้อน
๖๘) จับงูข้างหาง : ทำสิ่งที่เสี่ยงต่ออันตราย
๖๙) มือไม่พาย เอาเท้าราหน้า : ไม่ช่วยทำแล้วยังขัดขวางการทำงานของผู้อื่น
๗๐) หมาเห่าใบตองแห้ง : คนที่พูดเอะอะทำทีว่าเก่ง แต่ไม่เก่งจริง
การใช้การันต์
เมื่อพูดถึงคำว่า “การันต์” แล้ว บางคนคิดว่าเป็นอย่างเดียวกับ “ทัณฑฆาต” ความจริง “การันต์” หมายถึง ตัวอักษรที่ไม่ต้องการออกเสียง ถ้าเป็นคำบาลีและสันสกฤต คำว่า “การันต์” หมายถึง เสียงที่อยู่พยางค์สุดท้ายของคำ เพราะคำว่า “การันต์” เกิดจากการนำคำว่า “การ” ซึ่งแปลว่า “ตัวอักษร” กับ “อันต” ซึ่งแปลว่า “ที่สุด” มาสนธิเข้าด้วยกัน เช่น คำว่า “ชายา” เป็นอาการันต์ เพราะพยางค์สุดท้ายลงเสียง อา “ราชินี” เป็น อีการันต์ คือคำลงท้ายด้วยเสียงอี ส่วนทัณฑฆาต หมายถึงเครื่องหมาย “ ์ ” ซึ่งใช้เขียนไว้บนตัวอักษร หรือตัวการันต์สำหรับบังคับไม่ให้ออกเสียง หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การันต์” หมายถึง ตัวอักษรที่ไม่ออกเสียง ซึ่งมีไม้ทัณฑฆาตกำกับอยู่ ตัวการันต์นี้เป็นพยัญชนะตัวเดียวก็มี เป็นอักษรควบหรือนำก็มีอักษร ๒ ตัว หรือ ๓ ตัว เรียงกันก็มี มีรูปสระกำกับอยู่ด้วยก็มี ถ้าหากเราไม่ต้องการออกเสียงคำใด ก็ใส่ไม้ทัณฑฆาตบนอักษรตัวนั้น เพื่อเป็นการฆ่าเสียง
เหตุที่เราเก็บเอาตัวการันต์ไว้ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการออกเสียงนั้นก็เพื่อรักษารูปเดิมของศัพท์ให้คงที่อยู่ เพื่อจะได้รู้รูปศัพท์เดิมว่าเป็นอย่างไร นับว่าเป็นประโยชน์ในด้านนิรุกติศาสตร์มาก เพราะจะทำให้เราพอสืบหาที่มาของคำได้ว่ามีต้นเค้ามาจากคำอะไรในภาษาอะไร เช่น คำว่า “ประเทศ” ถ้าเราเขียนตามเสียงคนทั่ว ๆ ไปที่มิได้ศึกษาเล่าเรียน ก็คงเป็น “ปะเทด” หรือ “อากาศ” ก็คงเขียนเป็น “อากาด” นาน ๆ เข้าก็เลยไม่ทราบที่มาของคำ ทำให้การศึกษาในด้านภาษาศาสตร์หรือนิรุกติศาสตร์ ต้องชะงักงันอย่างแน่นอน คำบางคำออกเสียงอย่างเดียวกัน แต่รากศัพท์เดิมต่างกัน ถ้าเราเขียนรูปเดียวกันหมด เราจะไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของคำนั้นเลย เช่น คำที่ออกเสียงว่า “กาน” อาจเขียนเป็น “การ” “กาล” “กานต์” “กาญจน์” “การณ์” เป็นต้นก็ได้ แต่ละคำล้วนมาจากภาษาบาลีด้วยกัน แต่ความหมายต่างกันลิบลับ ถ้าเราเขียนตามเสียงพูดเช่น “กาน” สะกดเหมือนกันหมด คงจะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการตีความอย่างมากทีเดียว
ศัพท์ที่มีตัวการันต์นั้น โดยมากมักจะมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต หรือมิฉะนั้นก็เป็นศัพท์ในภาษาตระกูลยุโรป ศัพท์ต่าง ๆ เหล่านี้ ในภาษาเดิมเขามักจะออกเสียงเป็นหลายพยางค์ แต่เมื่อเรานำมาใช้ในภาษาไทย โดยเหตุที่เราพูดช้ากว่าเขา เราจึงต้องการคำที่น้อยพยางค์ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้เอาพยางค์หลังมาเป็นตัวสะกดเสียบ้าง เป็นตัวการันต์เสียบ้าง ครั้นจะทิ้งตัวการันต์เสีย ก็เกรงว่าจะเสียรูปศัพท์เดิม อันจะเป็นเหตุให้ความหมายคลาดเคลื่อนไป
เรื่องตัวสะกดกับตัวการันต์นั้นอยู่ข้างจะปะปนกันมากเหมือนกัน จึงขอชี้แจงเรื่องนี้สักเล็กน้อย ดังนี้
๑. พยัญชนะตัวเดียว ถ้าไม่ต้องการให้เป็นตัวสะกด หรืออ่านเป็นอีกพยางค์หนึ่งแล้วก็นับว่าเป็นตัวการันต์ ซึ่งจำต้องใส่ไม้ทัณฑฆาตลงไป เช่น “ต้นโพธิ์” การันต์ที่ตัว “ธิ” ก็อ่านว่า “ต้น-โพ” ถ้าต้องการออกเสียงเป็นตัวสะกด ก็ไม่ต้องมีไม้ทัณฑฆาต เช่น “อำเภอศรีมหาโพธิ” ก็อ่านว่า “อำ-เพอ-สี-มะ-หา-โพด”
๒. อักษรควบทั้งปวง ต้องนับว่าเป็นตัวสะกดทั้งคู่ เว้นแต่อักษรควบไม่แท้ ที่มีเสียงตัวหน้าอ่อน คือ ร ควบกับตัวอื่น ถ้าต้องการเอาตัว ร สะกดตัวเดียว เช่น ธรรม์ (ม การันต์) สรรค์ (ค การันต์) สรรพ์ (พ การันต์) ฯลฯ อย่างนี้ตัวหน้า คือตัว ร เป็นตัวสะกด ตัวหลังคือ ม ค พ เป็นตัวการันต์ อย่างนี้ต้องใส่ไม้ทัณฑฆาต
๓. อักษรนำทั้งปวง ตัวนำเป็นตัวสะกด ตัวตามหลังถ้าไม่เป็นพยางค์ต่อไป ต้องนับว่าเป็นตัวการันต์ เช่น ยักษ์ สัตว์ สงฆ์ อย่างนี้ ตัว ก ต ง เป็นตัวสะกด ตัวหลัง คือ ษ ว ฆ เป็นตัวการันต์
ตามปรกติในปัจจุบัน คำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ไม่นิยมการันต์กลางคำนอกจากโบราณเท่านั้นที่มีเขียนอยู่บ้าง เช่น สาส์น (การันต์ตัว ส) มาร์ค (การันต์ตัว ร) ฯลฯ แต่คำที่มาจากภาษาตระกูลยุโรปเรานิยมใส่ไม้ทัณฑฆาตบนคำที่เราไม่ต้องการออกเสียง ซึ่งอาจอยู่ตรงไหนของคำก็ได้ เช่น ฟิล์ม ชอล์ก อาร์ต เกียร์ ฯลฯ
ตัวการันต์พอจะจำแนกออกไปได้เป็น ๖ ชนิดด้วยกัน คือ
๑. เป็นพยัญชนะตัวเดียว เช่น สงฆ์ สิงห์ องค์ ศิลป์ ไมล์ ฯลฯ
๒. เป็นพยัญชนะ ๒ ตัวเรียงกัน เช่น เมืองกาญจน์ สายสิญจน์ ฯลฯ
๓. เป็นพยัญชนะ ๓ ตัวเรียงกัน เช่น พระลักษมณ์
๔. เป็นอักษรควบแท้ เช่น พักตร์ (หน้า) พระอินทร์ ฯลฯ
๕. เป็นอักษรควบไม่แท้ เช่น ธรรม์ สรรพ์ สรรค์ ครรภ์ ฯลฯ
๖. เป็นอักษรนำ เช่น เอกลักษณ์ สัญลักษณ์ ฯลฯ
๑. เป็นพยัญชนะตัวเดียว เช่น สงฆ์ สิงห์ องค์ ศิลป์ ไมล์ ฯลฯ
๒. เป็นพยัญชนะ ๒ ตัวเรียงกัน เช่น เมืองกาญจน์ สายสิญจน์ ฯลฯ
๓. เป็นพยัญชนะ ๓ ตัวเรียงกัน เช่น พระลักษมณ์
๔. เป็นอักษรควบแท้ เช่น พักตร์ (หน้า) พระอินทร์ ฯลฯ
๕. เป็นอักษรควบไม่แท้ เช่น ธรรม์ สรรพ์ สรรค์ ครรภ์ ฯลฯ
๖. เป็นอักษรนำ เช่น เอกลักษณ์ สัญลักษณ์ ฯลฯ
ข้อมูล: ศ.จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)